การใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภัย ยุคนี้แล้วไม่รู้ไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็น Gen ไหน ในทุกวันนี้เทคโนโลยีก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของทุกคนไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การสื่อสาร หรือแม้กระทั่งการทำธุรกรรมทางการเงิน แต่เมื่อเราใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ความเสี่ยงก็มากขึ้นตามไปด้วย ทั้งเรื่อง ความปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity), การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล (Data Privacy) และการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลอย่างรู้เท่าทัน
ทำไมการใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภัยถึงสำคัญ
องค์กรยุคดิจิทัลไม่สามารถทำงานได้หากปราศจากเทคโนโลยี ตั้งแต่ระบบอีเมลภายใน ระบบ CRM ที่เก็บข้อมูลลูกค้า ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านคลาวด์ที่รองรับการทำงานร่วมกัน แต่ในขณะที่เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้ธุรกิจเติบโตเร็วขึ้น มันก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่อาจกระทบต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือขององค์กรอย่างรุนแรง
ประเด็นที่เห็นชัดคือ ภัยคุกคามไซเบอร์ (Cyber Threats) ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่การถูกแฮกบัญชี แต่ยังรวมถึงการโจมตีด้วยมัลแวร์ การหลอกลวงฟิชชิง หรือการเจาะระบบเพื่อขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น ฐานข้อมูลลูกค้า แผนธุรกิจ หรือแม้แต่ไฟล์ทางการเงิน การรั่วไหลเพียงครั้งเดียวอาจทำให้องค์กรสูญเสียความเชื่อมั่นจากทั้งลูกค้าและคู่ค้า
อีกเหตุผลที่ทำให้เรื่องนี้สำคัญคือ กฎระเบียบและข้อกำหนดด้านความปลอดภัย ปัจจุบันหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยเอง มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ที่องค์กรต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หากเกิดการละเมิด องค์กรไม่เพียงแต่เสียค่าปรับจำนวนมาก แต่ยังเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีและสูญเสียโอกาสทางธุรกิจในอนาคต
นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีอย่างไม่ระมัดระวังยังส่งผลต่อ ความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity) สมมติว่ามีการโจมตีระบบ ERP ของบริษัท ทำให้ไม่สามารถออกใบสั่งซื้อหรือจัดการสต็อกได้ตามปกติ ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข แต่คือการหยุดชะงักของการดำเนินงานที่อาจทำให้สูญเสียรายได้และคู่แข่งแซงหน้าไป
สำหรับองค์กร ความปลอดภัยไม่ได้ขึ้นอยู่กับระบบเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ “คน” ด้วย พนักงานควรได้รับการอบรมเรื่องความปลอดภัยไซเบอร์ รู้จักวิธีตรวจสอบอีเมลหรือไฟล์ต้องสงสัย และเข้าใจนโยบายการจัดการสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล เพราะเพียงแค่ความผิดพลาดเล็ก ๆ อาจทำให้ข้อมูลสำคัญทั้งบริษัทรั่วไหลได้
การใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภัยในองค์กร
การปกป้ององค์กรในยุคดิจิทัลไม่ได้อาศัยแค่ระบบ แต่ต้องอาศัย 3 องค์ประกอบหลัก คือ
- People : พนักงานต้องมี Cybersecurity Awareness และรู้จักป้องกันความเสี่ยงเบื้องต้น
- Process : มีกระบวนการชัดเจนในการจัดการสิทธิ์ข้อมูล สำรองและกู้คืนระบบ
- Technology : ลงทุนในเครื่องมือป้องกัน เช่น Firewall, Endpoint Security และใช้การฝึกจริงอย่าง CTF เพื่อยกระดับทีมงาน
เมื่อทั้งสามด้านทำงานร่วมกัน เทคโนโลยีจะกลายเป็นเกราะที่ปกป้อง ไม่ใช่จุดอ่อนขององค์กร
เรื่อง People ต้องดูเรื่องวัฒนธรรมขององค์กรด้วย องค์กรที่ปลอดภัยไม่ได้วัดกันที่ระบบอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับพนักงานทุกคน หากคนในทีมไม่รู้จักตรวจสอบอีเมลฟิชชิง ไม่ระวังการใช้ USB หรือเผลอแชร์ไฟล์ผ่านช่องทางที่ไม่ปลอดภัย ต่อให้ระบบมี Firewall ระดับสูงก็ยังเสี่ยงอยู่ดี การอบรมพนักงานอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นหัวใจหลักที่หลายบริษัทเริ่มลงทุน
การพัฒนาทักษะผ่านการแข่งขัน CTF
องค์กรจำนวนมากเริ่มนำ การแข่งขัน CTF (Capture The Flag) มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกทีมงานด้าน IT Security เพราะการลงมือแก้โจทย์จริง เช่น การหาช่องโหว่หรือการถอดรหัส จะช่วยให้ทีมเข้าใจการโจมตีจากมุมมองแฮกเกอร์ และรู้วิธีป้องกันในเชิงลึกมากกว่าการอ่านคู่มือหรือการอบรมเชิงทฤษฎี
- CTF ช่วยให้ผู้เข้าแข่งขันได้ฝึกคิดเชิงวิเคราะห์และทดลองในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
- องค์กรหลายแห่งใช้ CTF เป็นเครื่องมือพัฒนาทักษะด้าน Information Security ของพนักงาน
- สำหรับคนทั่วไป การลองเข้าร่วม CTF ยังเป็นการเปิดมุมมองใหม่ ๆ เกี่ยวกับวิธีที่แฮกเกอร์โจมตี และวิธีป้องกันด้วย
ตัวอย่างองค์กรที่นำ CTF มาใช้
Google จัดการแข่งขัน CTF ระดับโลกทุกปี เปิดให้บุคคลทั่วไปและทีมงานด้าน Cybersecurity เข้าร่วม จุดประสงค์ไม่ใช่แค่การหาผู้ชนะ แต่เพื่อสร้างชุมชนความปลอดภัยและใช้เป็นสนามฝึกทีม Security ภายในเองด้วย
Meta
Facebook เคยพัฒนาแพลตฟอร์ม CTF ของตัวเองเพื่อใช้ฝึกพนักงานและเปิดให้มหาวิทยาลัยทั่วโลกใช้งานฟรี เป้าหมายคือการสร้างทักษะการเจาะระบบและการป้องกันอย่างถูกต้องในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย