WAF คืออะไร มารู้จัก Web Application Firewall ที่ช่วยให้เว็บไซต์ปลอดภัยขึ้นกัน!
ในยุคที่ธุรกิจทุกประเภทต่างมีเว็บไซต์และแอปพลิเคชันออนไลน์ ความปลอดภัยไม่ได้หยุดอยู่ที่การมี Firewall เฉพาะเครือข่ายอีกต่อไป แต่ต้องมีระบบที่เข้าใจโครงสร้างของ เว็บแอปพลิเคชัน โดยตรง เครื่องมือนั้นก็คือ WAF (Web Application Firewall) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการโจมตีที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ เช่น การเจาะระบบผ่านช่องโหว่เว็บไซต์
พร้อมแล้ววันนี้ Connected Tech Future จะพาไปรู้จัก WAF ไปพร้อม ๆ กัน!
WAF คืออะไร
WAF (Web Application Firewall) คือ ระบบไฟร์วอลล์ที่ทำงานในระดับเว็บแอปพลิเคชัน ต่างจาก Firewall แบบดั้งเดิมที่กรองข้อมูลตามพอร์ตหรือแพ็กเก็ต WAF จะโฟกัสไปที่การตรวจสอบ Request/Response ระหว่างผู้ใช้กับเว็บไซต์โดยตรง ทำให้สามารถสกัดกั้นการโจมตีที่เกิดจากช่องโหว่ของเว็บ เช่น SQL Injection, Cross-Site Scripting (XSS) หรือแม้แต่การโจมตีแบบ DDoS บนเลเยอร์แอปพลิเคชัน
WAF มีหน้าที่อะไร
หน้าที่หลักของ WAF คือการ ป้องกันเว็บไซต์และแอปพลิเคชันจากการโจมตีทางไซเบอร์ โดยทำงานเหมือนเกราะที่อยู่หน้าเว็บ เวลามี Request แปลก ๆ เข้ามา WAF จะตรวจสอบตามกฎที่ตั้งไว้ และปิดกั้นก่อนถึงระบบจริง สิ่งนี้ทำให้เว็บไซต์ยังทำงานได้ตามปกติแม้จะถูกโจมตี
WAF ไม่ได้มีดีแค่ป้องกันการโจมตี แต่ยังช่วยให้องค์กรทำงานได้ถูกต้องตามมาตรฐานความปลอดภัยสากลด้วย อย่างเช่น PCI DSS ที่บังคับให้เว็บไซต์ที่เก็บหรือประมวลผลข้อมูลสำคัญ ต้องติดตั้ง WAF เป็นส่วนหนึ่งของระบบความปลอดภัย
WAF แตกต่างจาก Firewall ไหม
หลายคนอาจสงสัยว่าเมื่อมี Firewall แล้ว ทำไมยังต้องมี WAF อีกด้วยหรอ คำตอบคือ Firewall และ WAF ไม่ได้ทำงานซ้ำซ้อนกัน แต่เสริมกัน
- Firewall ทั่วไปดูแลการรับส่งข้อมูลระดับเครือข่าย
- WAF มุ่งเน้นไปที่เลเยอร์ของเว็บแอปพลิเคชัน เช่น การกรอกฟอร์ม การส่งคำสั่งผ่าน URL หรือ API ที่เชื่อมต่อกับระบบหลังบ้านขององค์กร
ทำไม WAF จึงสำคัญต่อองค์กร
ในเชิงธุรกิจ การโจมตีเว็บไซต์ไม่ได้แค่ทำให้เว็บล่ม แต่ยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและอาจละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (เช่น PDPA) การมี WAF ทำให้องค์กรมั่นใจได้ว่าข้อมูลผู้ใช้จะไม่รั่วไหลง่าย ๆ และยังลดความเสี่ยงที่ระบบออนไลน์จะหยุดชะงักจากการโจมตี
หลายองค์กรยังผสมผสาน WAF กับการอบรม Cybersecurity Awareness ให้กับทีมงาน และบางแห่งนำกิจกรรมอย่าง CTF (Capture The Flag) มาใช้เพื่อให้ทีมไอทีเข้าใจการโจมตีจริง ๆ แล้วนำความรู้มาปรับใช้ในการตั้งค่า WAF ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
การมี WAF และ Firewall เป็นเหมือนการมีกำแพงสองชั้น ส่วน CTF คือสนามซ้อมที่จะทำให้ทีมงานรู้วิธีเสริมกำแพงให้แข็งแรงขึ้นจริง
ตัวอย่างระบบ WAF ที่องค์กรในไทยนิยมใช้
1. Cloudflare WAF
บริการบนคลาวด์ที่ใช้ง่าย ไม่ต้องติดตั้งฮาร์ดแวร์ เหมาะกับเว็บไซต์ทั่วไปจนถึงองค์กรใหญ่ จุดเด่นคือป้องกันการโจมตีแบบ DDoS, SQL Injection, XSS และมีการอัปเดตกฎ (ruleset) อัตโนมัติ
2. AWS WAF (Amazon Web Services)
เหมาะสำหรับองค์กรที่ใช้งานระบบบนคลาวด์ของ AWS สามารถตั้งกฎเองได้ละเอียด ปรับแต่งตามรูปแบบการใช้งานจริงของเว็บแอปพลิเคชัน และเชื่อมกับบริการอื่น ๆ ของ AWS ได้
3. Azure Web Application Firewall
เป็น WAF ของ Microsoft ที่ทำงานร่วมกับ Azure Application Gateway และ Azure Front Door จุดแข็งคือรองรับการป้องกันเว็บและ API พร้อมระบบ Monitoring ที่ใช้ง่าย